ศิลปะเอ็กซเพรสชันนิสม์ หรือ ลัทธิสำแดงพลังอารมณ์

April 25, 2018 | Author: Anonymous | Category: Documents
Report this link


Description

1 ลัทธิเอ็กซเพรสชันนิ สม์ แสดงพลังอำรมณ์ (อังกฤษ: Expressionism) คือขบวนการทาง ศิลปะเอ็กซเพรสชันนิ สม์ หรือ ลัทธิสำำแดงพลังอำรมณ์ หรือ ลัทธิ วัฒนธรรมที่เริมขึ้นในเยอรมนี เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่เป็ น ่ ปฏิกิรยาต่อ ปฏิฐานนิ ยม (positivism) และ ขบวนการศิลปะอื่นๆ เช่น ิ ธรรมชาตินิยม (Naturalism) และ ศิลปะอิมเพรสชันนิ สม์It sought to express the meaning of "being alive"วัตถุประสงค์ของขบวนการนี้ ก็ เพื่อการแสวงหาความหมายของ “ความร้้สึกมีชีวิตชีวา” (being alive) ศิลปิ นกลุ่มนี้ จะบิดเบือนความเป็ นจริงเพื่อที่จะแสดงผลที่มีต่ออารมณ์ และประสบการณ์ทางอารมณ์แทนความเป็ นจริงทางวัตถุ แนวโน้มของ และเป็ นศิลปะอัตวิสัย (subjective art form) เอ็กซเพรสชันนิ สม์ปรากฏ ในงานศิลปะหลายร้ปหลายแบบที่รวมทั้ง จิตรกรรม, วรรณกรรม, การ ละคร, ภาพยนตร์, สถาปั ตยกรรม และ ดนตรี และมักจะเป็ นคำาที่มีนัย ยะถึงอารมณ์รุนแรงภายใน (angst) โดยทัวไปแล้วจิตรกรเช่นแม็ทไทอัส ่ สม์ แม้ว่าจะเป็ นคำาที่มักจะใช้กับงานศิลปะของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็ตาม กรึนวอลด์ และ เอลเกรโกก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็ นจิตรกรเอ็กซเพรสชันนิ เยอรมั น ก็ มี ก ลุ่ ม เอ็ ก ซเพรสชั ่น นิ สม์ เ กิ ด ขึ้ นมาใหม่ เ หมื อ นกั น โดย ศิลปิ นกลุ่มนี้ ได้รบอิทธิพลแนวคิด คตินิยมต่อจากฟาน กอห์ก ั และโกแกง โดยตรง ในช่ ว งเวลาเดี ย วกั น กั บ ที่ กลุ่ ม โฟวิ ส ม์ อุ บั ติ ข้ ึ นที่ ฝ รัง เศสนั้ น ที่ ่ สมัย เอ็กซเพรสชันนิ สม์ ่ 2 และการตัดเส้นรอบนอก เพื่อให้ร้ปทรงด้เด่นชัดและแข็งกร้าว พวกเขา สะท้ อ นแนวคิ ด ที่ เ กี่ ย วกั บ สั ง คม การเมื อ ง แสดงความสกปรก ความ ฝรังเศสไม่ได้เน้นเนื้ อหาตรงนี้ ่ นั ่ นคือการแสดงออกถึงอารมณ์ภายในอันเร่าร้อนรุนแรง การใช้สี หลอกลวง ความเลวร้ายของสังคม ต่างจาก โฟวิสม์ ซึ่ง กลุ่มโฟวิสม์ ที่ ทว่าความคิดที่สอดคล้องต้องกันของทั้งสองกลุ่มก็คือ พวกเขาคิด ว่ า ศิ ลปกรรมของยุ โรปโดยทัว ไปมี แนวโน้ มการแสดงออกไปในด้ านที่ ่ หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความจริง งามแต่อย่างเดียว ทำา ให้มันด้ส้งสง่า เป็ นของเข้าใจยาก ศิลปิ นทั้งสอง กลุ่มไม่ได้ยึดแนวทางดั้งเดิม เรียกว่า พวกเขามีความคิดเป็ นปฏิปักษ์ต่อ ระหว่างโลกและมนุ ษย์ ศิลปิ นต่างเสแสร้งและปิ ดบังโลกแห่งความเป็ นจริง คำานึ งถึงความ ความงามทางศิลปะก็ว่าได้ แล้วหันมาเสนองานที่กล้าเผชิญหน้าตรง ๆ แต่การแสดงออกของทั้งสองกลุ่มก็มีแนวทางแตกต่างกัน โฟวิสม์ ใช้ อ ารมณ์ ส ร้ างร้ ปแบบส่ ว นเอ็ กซเพรสชั ่น นิ ส ม์ ปล่ อ ยให้ ร้ ปแบบแสดง อารมณ์ พวกเอ็กซเพรสชัน นิ ส ม์แบ่ง ออกเป็ นสองกลุ่ม กลุ่ มหนึ่ ง ชื่อ กลุ่ ม ่ ส ะ พ า น (die brucke) ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย Ernst Ludwig Kirchner,Karl Schmidt Rottluff,Eric Hegkel,Max Pechstein,Emile Nolde ส่ ว นกลุ่ ม ที่สองคือกลุ่มนั กขี่ม้าสีน้ ำาเงิน (Der Blaue Reiter) ประกอบด้วย Franz Marc,Wassily Macke,Heinrick Campendonk Kandinsky,Paul Klee,Lyonel Feiniger,August 3 แสดงออกนิ ยมหรือศิลปะเอ็กซ์เพรสชันนิ ซึม มุ่งแสดงอารมณ์ความร้้สึก ภายในด้วยสาระที่เกี่ยวกับสังคม การระบายสีและการใช้สีรุนแรงตรงไป ตรงมา นิ ยมระบายสีทบซ้อน (impasto) เพื่อแสดงภาวะความร้้สึกลึกๆ ั ทรงพัฒนาแนวคิดและการปฏิบัติของเอ็กซ์เพรสชันนิ ซึมมาใช้ใน ภำพเขียนแนวเอ็กซ์เพรสชันนิ ซึม (Expressionism) ศิลปะ ร้ปทรงที่ปรากฏอาจปรับไปตามกระบวนการระบายสีอย่างอิสระ พระองค์ จิตรกรรมฝี พระหัตถ์ของพระองค์ เช่น ภาพเหมือนสุภาพสตรี พื้ นภาพสี แดง สีขาว แสดงบริเวณแสง เสื้ อสีเขียว ไม่ปรากฏชื่อภาพ (๒๕๐๖) เหลือง เขียวคลำ้าดำา รอยพ่้กันอิสระ ร้ปทรงไร้ขอบ ไม่ปรากฏชื่อ ฐานการเขียนภาพระบายสีในอดีต ผลงำนและศิลปิ น ภาพสุภาพสตรีสีเขียว ไม่ปรากฏชื่อภาพ (๒๕๐๖) ภาพสุภาพสตรีสออก ี (๒๕๐๗) พระองค์ทรงอาจหาญในการแสดงออก โดยไม่ทรงกังวลกับพื้ น Artist Schiele, Egon Title Deutsch: Porträt des Eduard Kosmack Artist by El Greco 4 View of Toledo" , 1595/1610 has been pointed out to bear a particularly striking resemblance to 20th century expressionism. Historically speaking it is however part of the Mannerist movemen Kandinsky, 1923 "On White II" by Wassily by Franz Marc (1911 Die großen blauen Pferde Elbe Bridge I" by Rolf Nesch 5 Rehe im Walde by Franz Marc เทโอโท โคพ้ลอส (Δομήνικος เอลเกรโก (ภาษากรีก : โดเมนิ คอส Θεοτοκόπουλος; Doménicos Theotokópoulos); ภาษาอังกฤษ: El 7 เมษายน ค.ศ. 1614) เป็ นจิตรกร Greco หรือ The Greek (ค.ศ. 1541 ประติมากร และสถาปนิ กสมัยเรอเนซอง ซ์คนสำาคัญของประเทศสเปนในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17 มีความ ด้วยชื่อเต็มเป็ นภาษากรีก เชี่ยวชาญทางการเขียนภาพสีน้ ำามัน เอลเกรโกมักจะลงนามในภาพเขียน เอลเกรโกเกิดที่เกาะครีต ซึ่งในสมัยนั้ นเป็ นส่วนหนึ่ งของสาธารณรัฐ เวนิ สและเป็ นศ้นย์กลางของศิลปะไบแซนไทน์ยุคปลาย เอลเกรโกได้รบ ั การฝึ กฝนลักษณะศิลปะไบแซนไทน์ก่อนที่เดินทางไปเวนิ สเมื่ออายุ 26 ปึ เช่นเดียวกับศิลปิ นชาวกรีกคนอื่น ๆในปี ค.ศ. 1570 เอลเกรโกก็ย้าย ไปโรมไปเปิ ดโรงฝึ กงานและสร้างงานเขียน ระหว่างที่อย่ในอิตาลี เอล ้ เกรโกก็ปรับปรุงงานของตนเองโดยการใช้วิธีการเขียนภาพแบบลัทธิ แมนเนอริสม์ (Mannerism) และเรอเนซองซ์อิตาลี 6 โตเลโด โดยเอลเกรโก ในปี ค.ศ. 1577 เอลเกรโกก็ย้ายไปโตเลโด ในประเทศสเปนซึ่งเป็ นที่ท่ีเอลเกรโกอาศัย อย่้จนตลอดชีวิต ที่โตเลโด เอลเกรโกได้รบ ั งานเขียนหลายชิ้นและเป็ นที่สร้างผลงานที่ เอลเกรโกเป็ นผ้้ท่ีเป็ นแนวทางต่อลัทธิแสดงพลังอารมณ์ ร้้จักกันดีท่ีสุด (Expressionism) และลัทธิบาศกนิ ยม (Cubism) ในสมัยต่อมา นอกจาก นั้ นงานของเอลเกรโกยังมีแรงบันดาลใจต่อกวีและนั กเขียนเช่น ไรเนอร์ มาเรีย ริลค์ (Rainer Maria Rilke) และนิ คอส คาแซนท์ซาคิส (Nikos Kazantzakis) นั กวิชาสมัยใหม่กล่าวว่าเอลเกรโกมีลักษณะเป็ นตัวของตัว เองอย่างเด่นชัด จนไม่สามารถจัดเข้าอย่้ในกลุ่มศิลปะกลุ่มหนึ่ งได้งานที่ และจัดโดยผสมผสานระหว่างศิลปะไบแซนไทน์กับศิลปะตะวันตก หลักสุนทรียภำพ เป็ นลักษณะที่ร้จักกันคือร้ปแบบที่ส้งยาวอย่างบิดเบือนและการใช้สีหนั ก ความจริง มี ก ารบิ ดผั น ร้ ปทรงต่ าง ๆ ให้ ด้ ห มุ น เวี ย น มี การเคลื่ อนไหว หลักสุนทรียภาพของพวกเขาอย่้ที่การแสดงออกอย่างรุนแรงเกิน แสดงเส้นอย่างเด่นชัด ชอบใช้สีดำา (ต่างจากอิมเพรสชันนิ สม์ท่ีไม่ใช้สีดำา ่ เพราะถื อ ว่ า สี ดำา ไม่ มี อ ย่้ ใ นธรรมชาติ ข องแสง) และใช้ สี ท่ี ตั ด กั น อย่ า ง รุนแรง ชอบในร้ปทรงง่าย ๆ แต่สามารถสร้างอารมณ์อย่างถึงขีดสุด 7 หลัง จากศิ ลปะแบบโฟวิส ม์ กลายเป็ นความเคลื่ อนไหวทางศิ ล ปะที่ ต่ ื น เต้นที่สุดในประวัติความเป็ นมาของ ศิลปะต้นศตวรรษที่ 20 ต่อมาราวๆ ค.ศ.1907 ก็มีศิลปิ นฝรังเศสอื่นๆมาร่วมด้วย เช่น บราค ร้โอ และเมท ่ ศิ ล ปะ เยอรมั น เอ็ ก ซเพรสชั ่ น นิ สม์ (German Expressionism) ซิ ง เยอร์ ในนครมิ ว นิ ค ศิ ล ปิ นกลุ่ ม หนึ่ งได้ จั ด แสดงภาพโดยใช้ ช่ ื อว่ า เยอรมัน เอ็กซเพรสชันนิ สม์ ศิลปิ นกลุ่มนี้ ต้องการแสดงออกทางศิลปะ ่ อย่ า งเสรีที่ สุ ด ตามอารมณ์ ค วามร้้ สึ ก และความต้ อ งการที่ ร้ สึ ก ภายใน ศิ ล ปิ นได้ แ บ่ ง แนวคิ ด แสดงออกเป็ น 2 กลุ่ ม กลุ่ ม แรก เรีย กว่ า กลุ่ ม สับสนของสังคม เมือง เศรษฐกิจ เพศ และศาสนา สะพาน (the Bridge)เป็ นศิลปิ นวัยหนุ่ม ชอบแสดงศิลปะที่สะท้อนความ .1. แสดงความสกปรกของสังคม ความเหลวแหลก ความหลอกลวง ด้วยสีรุนแรงดังภาพของเอนเซอร์ และภาพการเต้นรำาชีวิตของมุ้งค์ 2. แสดงภาพสะท้อนศาสนา ด้วยความร้้สึกโหดร้าย น่าเกลียด ขยะแขยง 3. แสดงความรัก ความใคร่ ความตาย เพื่อเตือนให้สังคมตระหนั กใน ความไม่แน่นอน 4. แสดงภาพส่วนใหญ่หนั กไปทางจิตวิทยาและสังคม กลุ่มที่สอง ชื่อว่า กลุ่ม ม้าสีน้ ำาเงิน (the Blue Rider)แสดงความร้้สึกสนุ กสนาน ร่าเริง ด้วยการใช้เส้นและลีลาของสี ศิลปิ นในกลุ่มนี้ มี มาร์ค (Franz Maree 1880-1916)และวาสสิล่ี แคนดินสกี้ (Wassily Kandinsky 1866-1944) แต่ท่ีน่าเสียดายที่มาร์คต้องตายเสียก่อน ในการรบที่เวอร์ตัน ส่วนแคน ดินสกึ้ แสดงผลงานต่อไป และเป็ นผ้้ต้ ังแนวการเขียนแบบ แอบสแตรก 8 ต่อมาใน ช่วงเวลาเดียวกันกับที่ กลุ่มโฟวิสม์ อุบัติข้ ึนที่ฝรังเศสนั้ น ที่ ่ เยอรมัน ก็มีกลุ่มเอ็กซเพรสชันนิ สม์เกิดขึ้นมาใหม่เหมือนกัน โดย ่ ศิลปิ นกลุ่มนี้ ได้รบอิทธิพลแนวคิด คตินิยมต่อจากฟาน กอห์ก และโก ั การใช้สีและการตัดเส้นรอบนอก เพื่อให้ร้ปทรงด้เด่นชัดและแข็งกร้าว พวกเขาสะท้อนแนวคิดที่เกี่ยวกับสังคม การเมือง แสดงความสกปรก สม์ ที่ฝรังเศสไม่ได้เน้นเนื้ อหาตรงนี้ ทว่าความคิดที่สอดคล้องต้องกัน ่ โน้มการแสดงออกไปในด้านที่หลีกเลี่ยงการ เผชิญหน้ากับความจริง แกง โดยตรง นั ่นคือการแสดงออกถึงอารมณ์ภายในอันเร่าร้อนรุนแรง ความหลอกลวง ความเลวร้ายของสังคม ต่างจาก โฟวิสม์ ซึ่ง กลุ่มโฟวิ ของทั้งสองกลุ่มก็คือ พวกเขาคิดว่า ศิลปกรรมของยุโรปโดยทัวไปมีแนว ่ ศิลปิ นต่างเสแสร้งและปิ ดบังโลกแห่งความเป็ นจริง คำานึ งถึงความงาม ไม่ได้ยึดแนวทางดั้งเดิม เรียกว่า พวกเขามีความคิดเป็ นปฏิปักษ์ต่อ แต่อย่างเดียว ทำาให้มันด้ส้งสง่า เป็ นของเข้าใจยาก ศิลปิ นทั้งสองกลุ่ม ความงามทางศิลปะก็ว่าได้ แล้วหันมาเสนองานที่กล้าเผชิญหน้าตรง ๆ ระหว่างโลกและมนุ ษย์ แต่การแสดงออกของทั้งสองกลุ่มก็มีแนวทาง ให้ร้ปแบบแสดง อารมณ์ แตกต่างกัน โฟวิสม์ใช้อารมณ์สร้างร้ปแบบส่วนเอ็กซเพรสชันนิ สม์ปล่อย ่ ศิลปะนามธรรม (abstract art) แนวหนึ่ ง ซึ่งมีการแสดงออกผสมผสาน ปราศจากการควบคุมของจิตรกร ผลงานแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ เด็ดขาด แน่นอน ฉับพลัน และเต็มไปด้วยพลังรุนแรง ขนาดของภาพ ลัทธิสำำแดงพลังอำรมณ์แนวนำมธรรม แบบอย่างของจิตรกรรมใน กันระหว่างร้ปทรงนามธรรม กับอารมณ์สะเทือนใจที่พวยพ่งออกมาอย่าง ุ 9 มักมีขนาดใหญ่ สีท่ีใช้ไม่ว่าจะเป็ นวรรณะอุ่นหรือเย็นก็ตาม ล้วนแต่ ระบายด้วยอาการฉับพลัน แสดงร่องรอยการวาดระบายนั้ นๆ ให้ปรากฏ ร้ปทรงจะมีแนวโน้มไปในแบบร้ปทรงอิสระ ไม่นิยมร้ปทรงเรขาคณิ ต ของศิลปิ นให้ปรากฏออกมาในลีลาของพ่้กัน สี ค่าต่างแสง ลัทธิสำาแดงพลังอารมณ์แนวนามธรรม มุ่งสร้างงานที่แสดงพลังจิต (chiaroscuro) ระวาง (space) ฯลฯ เป็ นปฏิกิรยาต่อต้านการแสดงออก ิ ขั้นตอน หรือเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ ตามวิธีการที่เคยสร้างกันมา ดังนั้ น อย่างไตร่ตรอง มีการควบคุม และชี้แนะกลวิธีการสร้างงานอย่างมีระดับ จิตรกรในลัทธิน้ ี จึงมักแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความก้าวร้าว รุนแรง มี ลักษณะของนั กเสรีนิยมอย่างเต็มเปี่ ยม แต่ละคนล้วนแสดงปั จเจกนิ ยม อย่างเด่นชัด โดยมีวิธีการแสดงออกแตกต่างหลากหลายกันไป บทบาทและหน้าที่ของศิลปิ นนั้ นมีอย่้มากมายด้วยกัน ในที่น้ ี ขอเสนอ ๔ แบบด้วยกัน คือ 1. ทำาหน้าที่บันทึก เป็ นผ้้จารึกบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ เคลื่อนไหวอย่้ในยุคสมัยที่ศิลปิ นมีชีวิตอย่้ การบันทึกนี้ เป็ นไปได้ท้ ังมุม ทุคติซ่ึงเป็ นการมองโลกในแง่ร้าย หรือจะแง่สัมมาคติอันเต็มไปด้วย ทรรศนะกลาง ๆ ก็ย่อมได้ มองที่แคบและกว้าง อาจเป็ นทัศนะทางสุคติ หรือมองโลกในแง่ดี หรือ 10 ภาพสะท้อนของกระจกเงาหรือแฝงอารมณ์ความคิดเห็นของศิลปิ นลงไป ก็ไม่ผิดกติกา ศิลปิ นผ้้ทำาหน้าที่ในแนวทางนี้ มีอย่้มากในสังคมของชาว ตะวันตกในปั จจุบัน ดังเช่นศิลปิ นกลุ่มป๊ อบ อาร์ต กลุ่มสัจนิ ยมใหม่ กลุ่มแฮฟเพ็นนิ่ ง ฯลฯ มีข้อน่าสังเกตอย่้บ้างก็คือ ศิลปิ นไทยเลือก เส้นทางนี้ น้อยมาก 2. การสะท้อนถ่ายในแนวนี้ เป็ นไปได้ท้ ังแบบตรงไปตรงมา ดุจ เสมือนหนึ่ งการหยังร้้ถึงสิ่งที่สามัญชนอยากจะร้้เห็นได้ ดังเช่นผลงาน ่ ศิลปะของพวกพ่อมดหมอผี แสดงถึงพิธีกรรม รหัสแห่งความลี้ลับ ของวิญญาณ พลังอำานาจจิต เวทย์มนต์คาถา ฯลฯ ทำาหน้าที่ค้นหาและเปิ ดเผยสิ่งลี้ลับที่ไม่มีผ้ร้เห็น ทำาหน้าที่ เช่น ศิลปะของพวกอียิปต์ จีน อินเดีย อินเดียนแดง ฯลฯ ซึ่งผลงานแนวนี้ ปรากฏเด่นชัดมากในงานของศิลปิ นในอดีต ปั จจุบันแนวทางนี้ ได้พัฒนาตนเองไปส่้กระบวนแบบ และมโนทัศน์ใหม่ เช่น พวกลัทธิเซอเรียลลิสม์ และพวกสัญลักษณ์นิยมแนวใหม่ บ้าง เป็ นต้น ข้อน่าสังเกตก็คือ ศิลปิ นไทยหลายคนชอบแสดงออกแนวนี้ อย่้ 3. ทำาหน้าที่ฐานะปั จเจกชน แสดงออกถึงพลังอารมณ์ส่วนตน เป็ นสำาคัญ อาจเป็ นเรื่องของความรัก ความศรัทธา ความโกรธ ความ เกลียดชัง ความสุขความสมหวัง ความทุกข์ ความผิดหวัง ฯลฯ แนวนี้ จะปรากฏให้เห็นในศิลปิ นลัทธิโรแมนติกหรือพวกจินต นิ ยม พวกเอ็กเพรสชันนิ สต์ หรือพวกลัทธิสำาแดงพลังอารมณ์ รวมทั้ง ่ กลุ่มแนวลัทธินามธรรมอีกด้วย ข้อน่าสังเกตก็คือ เป็ นแนวทางที่ ศิลปิ นไทยนิ ยมกันมากที่สุดแนวหนึ่ ง 11 มุ่งค้นคว้าปฏิบัติความเป็ นไปของร้ปทรง สี แสง และเงา ช่องว่าง 4. ทำาหน้าที่ค้นคว้าบุกเบิกความแปลกใจของศาสตร์ แนวทางนี้ ฯลฯ เป็ นการบุกเบิกค้นคว้าแนวสุนทรียภาพใหม่อย่างบริสุทธิ์ ดังเช่น ศิลปิ นกลุ่มอ๊อพ อาร์ต กลุ่มมินิมอล กลุ่มคัลเลอร์ฟีลด์ เพนติ้ง ฯลฯ ข้อน่าสังเกตคือ มีศิลปิ นไทยบุกเบิกแนวทางนี้ ไม่มากนั ก อนึ่ งใน ๔ แนวทางนี้ ยังแบ่งย่อยในตัวของมันเองได้อีก นอกจากนั้ นศิลปิ นอาจเลือกเส้นทางของตนเอง ให้สลับสับเปลี่ยนกันก็ ย่อมได้ นอกเหนื อไปจากการงุนงงในการเลือกเส้นทางของบทบาทและ หน้าที่ในการสร้างสรรค์งานแล้ว มีอย่้เสมอที่ศลปิ นหนุ่มสาวผ้้ด้อย ิ สำาคัญนั้ น เขาวัด และให้คุณค่ากันตรงไหน ประสบการณ์มักพบปั ญหาทางตันที่ว่า การเป็ นศิลปิ นใหญ่ศิลปิ นคน ปั ญหานี้ มีผ้ตอบ และเสนอกันหลายแบบ แต่เท่าที่ประมวลให้ และประวัติศาสตร์ศิลป์ หรือไม่ ย่นย่อก็คือ มีผลงานต้องตรง และสอดคล้องกับเงื่อนไขทางศิลป วิจารณ์ เฮนรี่ มัวร์ , มาเซล ด้ชอมพ์ ฯลฯ ล้วนได้ช่ ือว่าเป็ นศิลปิ นเอกระดับ โลก เพราะพวกเขาเหล่านี้ ได้บุกเบิกสร้างแนวทางใหม่ มโนทัศน์ใหม่ กระบวนแบบใหม่ การแสดงออกใหม่ ฯลฯ แต่ละอย่างล้วนใหม่ ๆ อย่้เสมอ นี่ คือค่านิ ยมที่ทางศิลปะวิจารณ์ท่ีนิยมความคิดสร้างสรรค์ เป็ นคุณค่าส้งสุดกำาหนดเอาไว้ วินเซนต์ ฟานก็อกห์, ปาโบล ปิ คาสโซ, วาสิลี คานดินสกี้, ของบุคคลเหล่านี้ เข้าไว้ในทำาเนี ยบนั้ น นอกเหนื อจากเกณฑ์ท่ีทางศิลป ส่วนในแง่ของประวัติศาสตร์ศิลป์ ที่ได้นำาชื่อผลงาน และประวัติ 12 วิจารณ์กำาหนดคุณค่าไว้แล้ว ยังพิจารณาถึงผลกระทบทางบวกที่ผลงาน และมโนทัศน์ของบุคคลเหล่านั้ นมีมากน้อยเพียงใดต่อวงการด้วย มี มากก็มีความสำาคัญมากควบค่้กันไป ระบบหนึ่ ง แตกต่ำงไปจำกหลักของสำกลเป็ นแน่ ข้อเสนอแนะ ส่วนกำรเป็ นศิลปิ นใหญ่ของไทย คงจะมีกำรวัดคุณค่ำในอีก ให้ลทธิปัจเจกชนพลอยได้รบการปฏิบัติที่ดีไปด้วยนั้ น ย่อมส่งผล ั ั สังคม และธรรมชาติแปรเปลี่ยนไปจากเดิมด้วย สภาวะปั จจุบันสิทธิมนุ ษยชนถ้กเชิดช้ให้มีความสำาคัญส้งสุด ส่งผล สะท้อนกระทบถึงบทบาทหน้าที่ รวมไปถึงคติต่าง ๆ ที่ศิลปิ นมีต่อโลก หากสำานั กการศึกษาจะจัดหลักส้ตรที่เหมาะสมกับสภาวะได้ทัน และเหมาะเจาะกับกาลสมัยซึ่งเป็ นยุคสมัยที่ผ้คนภายในชาติ เริมเห็น ่ ความสำาคัญของการเสริมสร้างศิลปวัฒนธรรม ที่สอดคล้องกับสภาพ ความเป็ นจริง นอกจากนั้ นยังเป็ นการติดอาวุธทางปั ญญาให้กับ นั กศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสภาพในอนาคต อ่อนด้อยเสียแล้ว แน่นอน สภำพศิลปวัฒนธรรมของชำติคงอย่่ใน ฐำนะที่ล่อแหลม ต่อควำมหำยนะอย่ำงหลีกเลี่ยงไม่พ้นเป็ นแน่ เพรำะว่ำถ้ำนักรบในกองทัพศิลปวัฒนธรรม มีมันสมองอัน 13 อ้ำงอิง http://iammixone.blogspot.com/2009/04/blog-post_23.html http://th.wikipedia.org/wiki/ %E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9B %E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AD %E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%8B %E0%B8%8A %E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AA %E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8 %AA%E0%B8%A1%E0%B9%8C http://knowledge.eduzones.com/knowledge-2-12-43185.html


Comments

Copyright © 2024 UPDOCS Inc.